วิธีสังเกตแมวตั้งท้อง

การมีจำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้นมาภายในบ้าน ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้น โดยเฉพาะสำหรับคนที่เป็นทาสแมว ซึ่งปกติแล้วแมวจะใช้เวลาตั้งท้องประมาณ 2 เดือน บวกลบไม่มาก โดยที่เวลาใกล้ถึงช่วงเวลาผสมพันธุ์ หรือช่วงติดสัตว์ แมวถือว่าเป็นสัตว์ที่สามารถ และมีโอกาสท้องได้ง่าย เพราะฉะนั้นถ้าหากคุณเป็นทาสแมวมือใหม่ การรู้วิธี และการสังเกตแมวตั้งท้อง จึงถือว่าเป็นเรื่องจำเป็น เพราะการเตรียมตัวที่ดี ทั้งต่อสุขภาพแมว รวมไปถึงการหา และจัดพื้นที่ที่เหมาะสม รวมไปถึงการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ก็จะทำให้แมวสามารถคลอดลูกน้อยออกมาได้สมบูรณ์ โดยที่วิธีสังเกตแมวตั้งท้องได้ง่ายๆ ดังต่อไปนี้

1.แมวมีขนาดของหัวนมที่ใหญ่ขึ้น

ส่วนใหญ่แล้วแมวที่กำลังตั้งท้อง มักจะมีการขยายของหัวนมที่ใหญ่ขึ้น โดยระยะเวลาจะเกิดขึ้นหลังจากตั้งท้องได้ประมาณ 15 วัน ซึ่งถ้าหากหัวนมแมวมีลักษณะเป็นสีชมพู และเต้าขยายใหญ่ขึ้นเพื่อเอาไว้สำหรับกักเก็บน้ำนม นอกไปจากนั้นการขยายของหัวนมก็อาจจะเป็นภาวะติดสัตว์ได้เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นควรแยกให้ออก เพราะถ้าหากเป็นช่วงติดสัตว์ ก็จะทำให้สามารถป้องกันได้นั่นเอง

2.แมวกินอาหารเยอะกว่าปกติ

เป็นปกติของสัตว์แทบทุกชนิด เพราะเมื่อเวลาท้องก็มักจะเจริญอาหาร และทานอาหารเพิ่มมากขึ้น หนึ่งในนั้นก็คือแมวเช่นเดียวกัน โดยที่สามารถสังเกตได้จากการที่แมวกินอาหารเยอะกว่าปกติในช่วงระหว่างประมาณ 6 – 7 สัปดาห์แรกของการตั้งท้อง ซึ่งจะเป็นสัญญาณบ่งบอกอาการแมวท้อง เพราะเป็นช่วงเวลาที่แมวต้องการสารอาหาร เพื่อเข้าไปบำรุงเจ้าเหมียวน้อยภายในบ้าง โดยที่เจ้าของสามารถบำรุงได้ด้วยการเพิ่มอาหารที่มีประโยชน์ทั้งต่อแม่แมว และลูกแมวภายในท้องได้นั่นเอง

3.หลังโก่งเมื่อสังเกตจากด้วยหลัง

โดยปกติแล้วเมื่อถึงช่วงที่แมวกำลังตั้งท้อง หลายคนมักจะสังเกตไม่ออกระหว่างแมวอ้วน หรือแมวตั้งท้อง เพราะฉะนั้นเทคนิค และวิธีที่สามารถทำให้แยกออกได้แบบง่ายๆ ก็คือให้สังเกตจากด้านหลัง เพราะเวลาแมวตั้งท้องจะมีลักษณะ หลังโก่งโค้ง โดยเฉพาะบริเวณช่วงท้องที่จะมีขนาดใหญ่กว่าปกติ รวมไปถึงน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย

วิธีเหล่านี้เป็นเพียงวิธีเบื้องต้นเพียงเท่านั้น ที่จะสามารถสังเกตว่าแมวตั้งท้องหรือเปล่า เพราะจริงๆ แล้วยังมีอีกหลายวิธีที่สามารถสังเกตได้ โดยที่ปกติแล้วอาการต่างๆ มักจะออกอย่างชัดเจนเมื่อผ่านไปประมาณ 3 – 4 สัปดาห์ ถ้าหากเกิดการเปลี่ยนแปลง และสังเกตได้ ก็จะทำให้สามารถเตรียมตัว และบำรุงสุขภาพของทั้งแม่แมว และลูกแมว เพื่อให้ออกมามีสุขภาพที่แข็งแรง สมบูรณ์ได้นั่นเอง แต่ถ้าหากไม่มั่นใจก็สามารถไปตรวจอัลตร้าซาวน์ได้โดยตรงจากโรงพยาบาลสัตว์ เพื่อความแม่นยำ และชัดเจนมากยิ่งขึ้น